วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พาเที่ยว 5 ที่ @อุตรดิตถ์

พาเที่ยว 5 ที่ @อุตรดิตถ์  





1 เขื่อนสิริกิติ์



พบกับเขื่อนดินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยสร้างขึ้นมาเพื่อกั้นแม่น้ำน่านที่ไหลลงมาจากอำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน โดยสันเขื่อนมีความยาว 800 เมตร กว้าง 12 เมตร สูง 113.6 เมตร เดิมเขื่อนแห่งนี้ชื่อว่า “เขื่อนผาซ่อม” และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “เขื่อนสิริกิติ์” ภายหลังจากที่ได้รับพระบรมราชานุญาตในการอัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาขนานนามเขื่อนแห่งนี้ แรกทีเดียวนั้นอยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายหลังได้ติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงาน จึงได้มอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบดูแลต่อไป ที่ตั้ง บ้านผาซ่อม ตำบลท่าปลา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ 


2 วนอุทยานต้นสักใหญ่



วนอุทยานแห่งผืนป่าเบญจพรรณที่มีเนื้อที่ 22,000 ไร่ โดยไฮไลต์นั้นอยู่ที่ต้นสักใหญ่ซึ่งได้รับการค้นพบเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2470 สักใหญ่ต้นนี้มีอายุประมาณ 1,500 ปี ความยาวรอบต้น 1,007 เซนติเมตร  แม้ส่วนยอดถูกพายุพัดหักโค่นลงมา แต่ลำต้นส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม โดยได้รับการดูแลรักษา ให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้สำหรับนักนิยมไพร ภายในวนอุทยานต้นสักใหญ่ ยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 2 กิโลเมตรให้คุณได้เดินศึกษาธรรมชาติกันเต็มอิ่ม ที่ตั้ง อยู่ที่หมู่ 4 บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด การเดินทาง จากอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ถึงสามแยกบ้านป่าขนุนมาตามทางหลวงหมายเลข 1047 ถ้ามาในช่วงต้นฤดูหนาว เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยผืนป่าจะเปลี่ยนสีงดงามมาก จากนั้นผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ (อุทยานแห่งชาติคลองตรอน) ถึงวนอุทยานต้นสักใหญ่ รวมระยะทาง 53 กิโลเมตร ส่วนขากลับ ถนนตัดผ่านป่าสักแล้วอ้อมกลับมายังเส้นทางเดิม จากนั้นสามารถใช้ทางเส้นนี้เดินทางต่อไปยังเขื่อนสิริกิติ์และท่าปลาได้ สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักบริหารจัดการในพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) ตำบลน้ำปาด โทร. 0 5525 8028 - อุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ ราคา 900 บาท


3 บ้านท่าเรือ



นอกจากเป็นท่าเรือที่ใช้สำหรับขนถ่ายปลาสดๆ กันแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดขึ้นแพท่องเที่ยว ที่จะพาล่องไปตามลำน้ำ ชมความงดงามเหนือทะเลสาบเขื่อนสิริกิติ์ โดยรูปแบบที่ให้บริการ มีทั้งแบบค้างคืนและแบบไปเช้าเย็นกลับ พร้อมบริการอาหารทุกมื้อ เพื่อให้ทุกคนได้เก็บเกี่ยวความสุขกลางทะสาบได้อย่างอิ่มเอมใจ   ที่ตั้ง เป็นหมู่บ้านริมทะเลสาบ ตั้งอยู่หมู่ 9 บ้านท่าเรือ    การเดินทาง จากสามแยกอำเภอท่าปลาแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1146 จากนั้นแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1163 ประมาณ 6 กิโลเมตร แล้วแยกขวาใช้ทางหมายเลข 1341 อีก 4 กิโลเมตร มีทางแยกไปเขื่อนดิน ตรงไปจะเป็นบ้านท่าเรือ    สำหรับการล่องแพ สามารถติดต่อได้ที่แพเกษณี ทัวร์ โทร.08 5732 0925, 08 1953 9440, 08 5727 6496 แพท่าปลา ปัญญาทัวร์ (ลุงแจ้ง) โทร. 08 7204 2739, 08 6737 6098, 08 9261 9216 


4 อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก



ชาวไทยยกย่องวีรกรรมของพระยาพิชัยดาบหัก วีรบุรุษผู้รักชาติและมุ่งมั่นทำหน้าที่ปกป้องมาตุภูมิที่ตนหวงแหน ซึ่งอนุสาวรีย์แห่งนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติประวัติในความกล้าหาญของท่าน โดยเหตุการณ์ครั้งสำคัญนั้น เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2316 เมื่อพม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัย และพระยาพิชัย ผู้ครองเมืองพิชัยในสมัยธนบุรีขณะนั้น ได้ยกทัพไปสกัดทัพพม่าจนแตกพ่ายกลับไป การรบในครั้งนั้น ดาบคู่มือของพระยาพิชัยข้างขวาได้หักไปหนึ่งเล่ม แต่ก็ยังสามารถรบจนได้ชัยชนะเหนือทัพพม่า ด้วยวีรกรรมดังกล่าวท่านจึงได้สมญานามว่า “พระยาพิชัยดาบหัก” นั่นเอง อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับการออกแบบและหล่อโดยกรมศิลปากร ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ภายในบริเวณมีพิพิธภัณฑ์ดาบเหล็กน้ำพี้ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นที่เก็บรักษาดาบเหล็กน้ำพี้ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนัก 557.8 กิโลกรัม ฝักดาบทำด้วยไม้ประดู่ ฝังลวดลายมุกหุ้มปลอกเงินสลักลาย และพิพิธภัณฑ์พระยาพิชัยดาบหัก ที่ภายในเก็บรวบรวมประวัติของพระยาพิชัยดาบหัก แบบจำลองสนามรบ วิถีชีวิตผู้คนเมืองอุตรดิตถ์ในสมัย อยุธยาตอนปลาย ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัยโบราณ   ที่ตั้ง ประดิษฐานอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์


5 น้ำตกแม่พูล



เพียงแรกเห็นคุณอาจคิดว่าความสวยงามตรงหน้าเกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้ว น้ำตกสายนี้ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาจากธารน้ำโดยการเทปูนเพื่อทำให้น้ำไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ จากภูเขาสูง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น เย็นสบาย และใกล้บริเวณน้ำตกยังมีสวนลางสดอันเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อของอุตรดิตถ์อีกด้วย   ที่ตั้ง หมู่ 4 บ้านต้นเกลือ ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล   การเดินทาง จากอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ถึงอำเภอลับแล ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 1043 ประมาณ 12 กิโลเมตร หรือขึ้นรถสองแถวที่ถนนตุลาสถิตย์ ในตัวเมืองรถจะออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 6.00-17.30 น.      ไฮไลท์น่าสนใจ
• ม่อนลับแล ตั้งอยู่บนเส้นทางไปน้ำตกแม่พูล ห่างจากแยกศรีพนมมาศประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากเป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศแวดล้อมด้วยธรรมชาติบริสุทธิ์แล้ว ที่นี่ยังมีเรือนทอผ้าม่อนลับแล ซึ่งได้รวบรวมผ้าทอพื้นเมืองลับแลจากอดีตสู่ปัจจุบัน รวมทั้งบ้านของฝากม่อนลับแล ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองอย่างผ้าทอ อาหาร ของฝากเอกลักษณ์เมืองลับแล ผลไม้ตามฤดูกาล และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ   • เส้นทางวัฒนธรรมเมืองลับแล มีบริการนำเที่ยวตามเส้นทางวัฒนธรรมและตำนานเมืองลับแลด้วยจักรยาน พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่จะพาคุณไปชมโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และที่น่าตื่นตามากๆ คือการขนส่งผลไม้ข้ามภูเขาด้วยลวดสลิงแห่งเดียวในประเทศไทย พร้อมอิ่มอร่อยกับทุเรียนเลิศรส พันธุ์หลงลับแล หลินลับแล ลางสาด ลองกอง และลางกอง สมกับที่เมืองลับแลได้ชื่อว่าเป็นดินแดน แห่งผลไม้ที่มีฉายาว่า “ภูเขากินได้” ติดต่อ โทร.  0 5543 1439 




ขอบคุณ ที่มา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

พาเที่ยว 8 ที่ @ชัยภูมิ

พาเที่ยว 8 ที่ @ชัยภูมิ  






1 อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม



อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาพังเหย ภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน ระดับความสูงประมาณ 300-846 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ มีความหลากหลายของระบบนิเวศ  และมีไม้ดอกจำพวกดุสิตา เอนอ้าและกล้วยไม้ ขึ้นอยู่จำนวนมาก และมีสัตว์ป่านานาพันธุ์ มีนกกว่า 56 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 21 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 10 ชนิด จุดท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯได้แก่ ลานหินงาม เป็นบริเวณที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลก ๆ กระจายอยู่เต็มไปหมดในเนื้อที่กว่า 10ไร่ เกิดจากการกัดเซาะของเนื้อดินและหินเป็นรูปลักษณ์แตกต่างกัน สามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ตะปู  เรด้าร์  แม่ไก่ เป็นต้น ทุ่งดอกกระเจียว หรือทุ่งบัวสวรรค์ กระเจียวเป็นพืชล้มลุกจำพวกขิง-ข่า พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามไปจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน เหมาะมาเที่ยวชมในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ของทุกปี สุดแผ่นดิน  เป็นหน้าผาสูงชันและเป็นจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผาซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่จุดชมวิวสุดแผ่นดินจะมองเห็นทิวทัศน์สันเขาสลับซับซ้อน และมีสายลมพัดเย็นสบายตลอดวัน  น้ำตกเทพพนา อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร  เป็นน้ำตกขนาดกลาง เกิดจากลำห้วยกระโจนที่ไหลจากเทือกเขาพังเหย  แบ่งเป็นสามชั้นลดหลั่นกัน ชั้นบนสุดมีความสูงประมาณ 2-3 เมตร  ชั้น 2 สูงประมาณ 2-3 เมตร  และชั้นสุดท้ายมีความสูงประมาณ 6 เมตร จะมีน้ำเฉพาะในช่วงฤดูฝน   น้ำตกเทพประทาน  ตั้งอยู่ตำบลบ้านไร่  อยู่ก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง ลักษณะค่อนข้างแบน มีหินขนาดใหญ่เป็นลานกว้างลดหลั่นกันลงไปเป็นชั้นเตี้ย ๆ และมีดอนที่สูงชันอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมากในช่วงฤดูฝน พระพุทธบาทเขายายหอม ตั้งอยู่บริเวณลานหินบนยอดภูเขาหอม เทือกเขาพังเหย ดงพญาเย็น ในบริเวณวัดพระพุทธบาทเขายายหอม ตำบลนายางกลัก  มีลักษณะเป็นรอยพระพุทธบาทข้างซ้ายสีแดง ประทับลึกลงไปในลานหิน ขนาดความกว้าง 75 เซนติเมตร ยาว 180 เซนติเมตร และลึก 45 เซนติเมตร ล้อมรอบด้วยบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 บ่อ พระพุทธบาทเขายายหอมห่างจากที่ว่าการอำเภอไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 65 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 63 กิโลเมตร แต่ถ้าหากจะเริ่มต้นจากที่ว่าการอำเภอซับใหญ่ไปทางทิศเหนือก็จะห่างเพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น             อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยว  สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตู้ ปณ.2 ปทจ.เทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ 36230 โทร. 0 4489 0105  หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760  www.dnp.go.th  ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท อุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ ราคา 1,800 - 2,700 บาท อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท 


2 น้ำตกเทพพนา



น้ำตกเทพพนา เป็นน้ำตกขนาดกลางเกิดจากลำห้วยกระจวนที่ไหลจากเทือกเขาพังเหย โดยแบ่งออกเป็นชั้นสามชั้นลดหลั่นกัน ชั้นบนสุดมีความสงประมาณ 3-4 เมตร ชั้นที่สองมีความสูงประมาณ 2-3 เมตร และชั้นสุดท้ายมีความสูงประมาณ 6 เมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำตกไหลสม่ำเสมอ   สามารถลงเล่นน้ำเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ใกล้กันคือ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ มีสภาพป่าสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชี และแม่น้ำป่าสักมีจุดเด่นทางธรรมชาติ ที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะทุ่งดอกกระเจียว มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขา ประกอบไปด้วยภูเขาต่างๆ เช่น เขาพังเหย มีความสูงประมาณ 200 – 800 เมตร ทางธรณีวิทยาของพื้นที่เป็นหมวดหินภูพานหมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารลุ่มน้ำชี (แม่น้ำชี) ลำน้ำสนธิซึ่งไหลลงแม่น้ำป่าสัก มิเพียงเท่านั้น ท่านสามารถแวะชมทุ่งดอกกระเจียว ซึ่งกระเจียวเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว พบเป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่นที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทย ณ แห่งนี้ ปกติจะพบขึ้นกระจายทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน 1 กิโลเมตร ดอกกระเจียวจะขึ้นและบานเป็นสีชมพูอมม่วงในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้น คือ เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี สถานที่ที่อยู่ใกล้และน่าสนใจไม่แพ้กันคือจุดชมวิวสุดแผ่นดินซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันและเป็นจุดที่สูงสุดของเทือกเขาพังเหย ซึ่งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม (846 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ซึ่งเกิดจากการยกตัวของพื้นที่เป็นที่ราบสูงภาคอีสานจึงเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ทำให้เรียกบริเวณนี้ว่า “สุดแผ่นดิน” ณ จุดนี้จะเห็นทิวทัศน์ของสันเขาพังเหยและเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จุดชุมวิวนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ทำการอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวนิยม ขึ้นไปสัมผัสสายหมอกตอนเช้าและชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็น ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร  ที่ตั้งอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตู้ ปณ.1 ปทจ.เทพสถิต  อ. เทพสถิต  จ. ชัยภูมิ   36230 โทรศัพท์ 0 4489 0105   โทรสาร 0 4489 0105 


3 น้ำตกเทพประทาน



น้ำตกเทพประทาน ตั้งอยู่ตำบลบ้านไร่  เป็นน้ำตกขนาดกลางที่ยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ อยู่ก่อนถึงอุทยานแห่งชาติป่าหินงามประมาณ 7 กิโลเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านไร่ ตำบนบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางจากบ้านวะตะแบก ไปอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม โดยจะมีทางแยกขวาไปน้ำตกเทพพนา ลักษณะค่อนข้างแบน มีหินขนาดใหญ่เป็นลานกว้างลดหลั่นกันลงไปเป็นชั้นเตี้ย ๆ และมีดอนที่สูงชันอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมากในช่วงฤดูฝน สถานที่ใกล้กันคือ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ มีสภาพป่าสมบูรณ์ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชี และแม่น้ำป่าสักมีจุดเด่นทางธรรมชาติ ที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะทุ่งดอกกระเจียว มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตรลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขา ประกอบไปด้วยภูเขาต่างๆ เช่น เขาพังเหย มีความสูงประมาณ 200 – 800 เมตร ทางธรณีวิทยาของพื้นที่เป็นหมวดหินภูพานหมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารลุ่มน้ำชี (แม่น้ำชี) ลำน้ำสนธิซึ่งไหลลงแม่น้ำป่าสัก การเดินทางรถยนต์จากกรุงเทพฯ มาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ผ่านสระบุรีจนถึงบ้านพุแค เลี้ยวขวามาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 จนถึงอำเภอชัยบาดาล แล้วใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 ผ่านกิ่งอำเภอลำสนธิ ก่อนถึงอำเภอเทพสถิตประมาณ 1 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม รวมระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร   จากจังหวัดนครราชสีมา ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 205 ผ่านอำเภอโนนไทย บ้านหนองบัวโคก บ้านคำปิง เมื่อเลยอำเภอเทพสถิตมาประมาณ 1 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2354 ระยะทางทางประมาณ 17 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร


4 อุทยานแห่งชาติไทรทอง



อุทยานแห่งชาติไทรทอง  ครอบคลุมพื้นที่ป่าบนเทือกเขาพังเหย ในอำเภอหนองบัวระเหว เทพสถิต ภักดีชุมพล และหนองบัวแดง มีเนื้อที่ 319 ตารางกิโลเมตร เป็นป่าต้นน้ำลำธารของลำห้วยหลายสายซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำชี   สภาพป่าเป็นป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง ผสมกับป่าเบญจพรรณ มีต้นไผ่รวกขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม  ภายในอุทยานฯ มีสถานที่น่าสนใจคือ   น้ำตกไทรทอง ห่างจากที่ทำการ 1 กิโลเมตรไปตามทางรถยนต์และเดินเท้าอีก 400 เมตร เป็นน้ำตกชั้นเตี้ย ๆ สูงเพียง 5 เมตรแต่มีความกว้างประมาณ 80 เมตร ด้านหน้าเป็นแอ่งน้ำใหญ่ สามารถลงเล่นน้ำได้เรียกว่า วังไทร เหนือน้ำตกมีวังน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า วังเงือก น้ำไหลลงตามความคดเคี้ยวและความลาดชันของลานหินลงสู่น้ำตกไทรทอง มีความยาว  150 เมตร จากน้ำตกไทรทองขึ้นไปถึงน้ำตกชวนชมมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 2 กิโลเมตร  มีจุดเด่นต่าง  ๆ ตามเส้นทาง เช่น ผาพิมใจ ดงเฟิร์นข้าหลวงหลังหลาย น้ำตกบุษบากร เป็นเส้นทางที่ร่มรื่นมีพันธุ์ไม้หลากหลายสวยงามให้ชมตลอดเส้นทาง  น้ำตกชวนชม อยู่เหนือน้ำตกไทรทองไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 2 กิโลเมตร น้ำตกมีความสูง 20 เมตร รอบบริเวณมีต้นไม้ร่มรื่นทุ่งบัวสวรรค์ หรือทุ่งดอกกระเจียว อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 10 กิโลเมตร บริเวณสันเขาพังเหยด้าน ทิศตะวันตก ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ต้นกระเจียวจะออกดอกสวยงามเต็มทุ่ง มีทั้งดอกสีชมพูและสีขาว  ผาพ่อเมือง อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นแนวหน้าผาตามสันเขาพังเหยด้านตะวันตก ตามเส้นทางขึ้นสู่ทุ่งบัวสวรรค์ ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 700-908 เมตร มองลงไปเป็นตัวอำเภอภักดีชุมพลและเทือกเขาพญาฝ่อ ที่กั้นระหว่างชัยภูมิกับเพชรบูรณ์ มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติลัดเลาะตามแนวหน้าผาซึ่งมีจุดชมวิวเด่น ๆ อีก 4 จุด คือ ผาเพลินใจ ผาอาทิตย์ อัสดง ผาสวนสวรรค์และผาหำหด ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหน้าผาที่หวาดเสียวที่สุดเมื่อขึ้นไป นั่งบนชะง่อนหินนั้น  ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท   อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท   จุดชมทิวทัศน์ผาหำหด เป็นจุดสูงของเทือกเขาพังเหย สูงจากระดับน้ำทะเล 864 เมตร อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีสถานที่กางเต็นท์พักแรมเพื่อสัมผัสความหนาวเย็นของอากาศ  อุทยานฯ มีบ้านพักรับรองและสถานที่กางเต็นท์พักแรม ราคา 400 - 2,700 บาท สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง ตู้ ปณ. 1 อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ 36250 โทร. 08 9282 3437, 08 1877 8485  หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร.  0 2562 0760 หรือ www.dnp.go.th


5 อุทยานแห่งชาติตาดโตน



ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาฝาย ตำบลท่าหินโงม ตำบลห้วยต้อน และตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูแลนคา มีพื้นที่ทั้งหมด 135,737.50 ไร่ หรือประมาณ 217 ตารางกิโลเมตร และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำลำธารที่สำคัญของจังหวัดชัยภูมิ คือ ลำปะทาว และต้นน้ำชี มีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง ได้แก่ น้ำตกตาดโตน น้ำตกตาดฟ้า และน้ำตกผาเอียง ด้วยสภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน มีด้านลาดทางทิศใต้ และเป็นแนวสันเขายาวตั้งแต่ปราจีนบุรีผ่านเขาใหญ่ ชัยภูมิผ่านไปถึงเลย ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้บริเวณอุทยานแห่งชาติตาดโตนเป็นแนวอับฝน อากาศจึงค่อนข้างร้อน แต่เนื่องจากสภาพโดยทั่วไปยังเป็นป่าที่มีสภาพสมบูรณ์พอสมควร จึงทำให้อุทยานแห่งชาติค่อนข้างเย็นสบาย  พรรณไม้ที่สำคัญประกอบด้วยป่าเต็งรัง และป่าดิบแล้ง ชนิดไม้ในป่า มีเต็ง รัง พลวง กระบก กระโดน พะยอม รัก ประดู่ มะค่า ยาง กระบาก ตะเคียน ฯลฯ และไม้พื้นล่างส่วนใหญ่เป็นหญ้าเพ็ก สัตว์ป่ามี เก้ง หมูป่า พังพอน กระต่าย กระรอก กระแต ไก่ป่า และนกชนิดต่าง ๆ การเดินทาง จากตัวเมืองทางหลวงหมายเลข 2159 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2051 ระยะทางจากตัวเมืองถึงที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยางตลอดสาย  สถานที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ได้แก่  น้ำตกตาดโตน เป็นน้ำตกที่สวยงามใกล้ที่ทำการอุทยานฯ มีน้ำไหลตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูฝนจะสวยงามเป็นพิเศษ มีความสูงประมาณ 6 เมตร และกว้าง 50 เมตร ด้านบนเป็นธารน้ำไหลผ่านลานหินสองฝั่งธารร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ เหมาะที่จะนั่งพักผ่อนชมธรรมชาติและเล่นน้ำ บริเวณน้ำตกมี ศาลเจ้าพ่อตาดโตน (ศาลปู่ด้วง) อีกด้วย   ใกล้กับน้ำตกตาดโตนมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด และยังมีลานกิจกรรมใกล้น้ำตกสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อน หรือมาทำกิจกรรมเป็นหมูคณะอีกด้วยบริเวณน้ำตกเป็นลานหินกว้าง มีน้ำไหลตลอดทั้งปี เนื่องจากมีน้ำถูกปล่อยมาจากเขื่อนลำปะทาว ด่านล่างของน้ำตกสามารถเล่นน้ำได้ เป็นจุดๆ เพราะช่วงหน้าฝน จะมีน้ำมาก อาจเกิดอันตรายได้  ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท อุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ ราคา ราคา 1,000 - 3,500 บาท อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท 


6 อนุสาวรีย์พระยาภักดีชุมพล (แล)



พระยาภักดีชุมพล เดิมชื่อ"แล" เป็นชาวนครเวียงจันทน์ เคยรับราชการเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรในเจ้าอนุวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทย) ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2360 นายแลได้อพยพไพร่พลข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านน้ำขุ่นหนองอีจาน (อยู่ในเขตอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา) ต่อมาได้ย้ายไปตั้งใหม่ที่บ้านโนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง (อยู่ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ) และได้ทำราชการส่งส่วยต่อเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งให้นายแลเป็นที่ขุนภักดีชุมพลนายกองนอก ใน พ.ศ. 2365 ขุนภักดีชุมพลได้ย้ายชุมชนมาอยู่ที่บ้านหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านหนองหลอดกับบ้านหนองปลาเฒ่า ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิปัจจุบัน เนื่องจากสถานที่เดิมเริ่มคับแคบ ไม่พอกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. 2367 ได้ที่การพบบ่อทองที่บริเวณลำห้วยชาด นอกเขตบ้านหลวง ขุนภักดีชุมพลจึงได้นำทองในบ่อนี้ไปส่วยแก่เจ้าอนุวงศ์และขอยกฐานะบ้านหลวงขึ้นเป็นเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงประทานชื่อเมืองแก่ขุนภักดีชุมพลว่า เมืองไชยภูมิ และเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระภักดีชุมพล ทว่าต่อมาพระภักดีชุมพลได้ขอเอาเมืองไชยภูมิขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา และส่งส่วยแก่กรุงเทพมหานครแทน ไม่ขึ้นแก่เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์อีกต่อไปพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหลวง(เมืองไชยภูมิ)เป็นเมืองชัยภูมิ และแต่งตั้งพระภักดีชุมพล (แล) เป็นพระยาภักดีชุมพล (แล) เจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก สร้างความไม่พอใจแก่ทางฝ่ายเวียงจันทน์อย่างมาก ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏต่อกรุงเทพเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช โดยยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา แต่เห็นว่าจะทำการต่อไปได้ไม่ตลอด จึงเผาเมืองนครราชสีมาทิ้ง[ต้องการอ้างอิง] และถอนทัพกลับไปตั้งรับที่เวียงจันทน์ ระหว่างทางกองทัพเจ้าอนุวงศ์เกิดความปั่นป่วนจากการลุกฮือของครัวเรือนที่กวาดต้อนไปเวียงจันทน์ ขณะพักทัพอยู่ที่ทุ่งสำริด พระยาภักดีชุมพล (แล) ได้ยกทัพไปสมทบกับคุณหญิงโมและครัวเรือนชาวเมืองนครราชสีมา ทำการตีกระหนาบกองทัพของเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่าย เจ้าอนุวงศ์เกิดความแค้นที่พระยาภักดีชุมพลไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายลาว ซ้ำยังยกทัพมาช่วยฝ่ายไทยตีกระหนาบทัพลาวอีกด้วย จึงย้อนกลับมาเมืองชัยภูมิ จับตัวพระยาภักดีชุมพล (แล) ประหารชีวิต ที่บริเวณใต้ต้นมะขามริมหนองปลาเฒ่า การเสียชีวิตของพระยาภักดีชุมพล (แล) ในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวเมืองชัยภูมิจดจำตลอดมา และระลึกถึงว่าเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญของท่านต่อมาชาวเมืองชัยภูมิจึงเรียกขานท่านด้วยความเคารพว่า "เจ้าพ่อพญาแล" และได้มีการสร้างศาลไว้ตรงสถานที่ที่พระยาภักดีชุมพล (แล) ถูกประหารชีวิต ที่บ้านหนองปลาเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 (ชัยภูมิ - บ้านเขว้า) ต่อมาใน พ.ศ. 2511 ทางราชการได้สร้างศาลขึ้นใหม่ ให้ชื่อว่า "ศาลพระยาภักดีชุมพล (แล)" และจัดให้มีงานสักการะเจ้าพ่อพญาแลทุกปี โดยเริ่มจากวันพุธ แรกของเดือน 6 เป็นเวลา 7 วัน เรียกว่า "งานเทศกาลบุญเดือนหก ระลึกถึงความดีของ เจ้าพ่อพญาแล" ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของชาวชัยภูมิ และใน พ.ศ. 2518 ทางราชการร่วมกับพ่อค้าและประชาชนชาวชัยภูมิ สร้างอนุสาวรีย์ของพระยาภักดีชุมพล (แล) ประดิษฐานอยู่ตรงวงเวียนศูนย์ราชการ ปากทางเข้าสู่ตัวเมืองชัยภูมิ ลูกหลานของพระยาภักดีชุมพล (แล) ที่ได้รับราชการเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิคนต่อๆ มา ล้วนได้รับยศและบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาภักดีชุมพลทุกคน รวมทั้งสิ้น 5 คน ส่วนเจ้าพ่อพญาแลได้เป็นพระยาภักดีชุมพลได้ 4 ปี เป็นเจ้าเมืองชัยภูมิถึง 10 ปี


7 วัดศิลาอาสน์ ภูพระ



ภูพระ วัดศิลาอาสน์ ตั้งอยู่ที่บ้านนาไก่เซา ตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ ประมาณ 12 กิโลกรัม ไปตามเส้นทางหมายเลข 201 (ชัยภูมิ-ภูเขียว) ระยะ 6 กิโลกรัม เลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางนาเสียว-ห้วยชัน 5 กิโลเมตร และแยกซ้ายเข้าวัดอีก 1 กิโลเมตร    ภูพระ เป็นส่วนหนึ่งของภูแลนคา สูงจากระดับน้ำทะเล 210 เมตร ลักษณะทั่วไปเป็นแท่งผาหิน ลานหินขนาดกว้าง ที่ผนังหินภูพระจำหลักพระพุทธรูปหลายองค์ รวมทั้งหมด 9 องค์ มีองค์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก ชาวบ้านเรียก "พระเจ้าองค์ตื้อ” ประทับนั่งขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง 5 ฟุต สูง 7 ฟุต พระหัตถ์ขวาวางอยู่ที่พระเพลา พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่ที่พระชงฆ์ (พระหัตถ์อยู่ในท่าตรงขามกับปางมารวิชัย) มีพระพุทธรูปหินทรายขนาดเล็กสูง 7 นิ้ว ลักษณะเดียวกันอยู่ข้างหน้า 1 องค์ ใกล้กันมีพระพุทธรูปอีก 7 องค์ จำหลักรอบเสาหินทราย ประทับนั่งเรียงแถวปางสมาธิ 5 องค์ ปรางเดียวกับพระเจ้าองค์ตื้อ 2 องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้มีอายุราวศตวรรษที่ 18-19 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน-โบราณวัตถุ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเกจิอาจารย์ดัง อาทิ พระอาจารย์ฝั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สภาพแวดล้อมทั่วไปเป็นลานหินกว้าง เหมาะในการปฏิบัติธรรม สถานที่แห่งนี้ยังมีต้นลีลาวดีพันปีจำนวนมากอีกด้วย นอกจากนั้นใกล้บริเวณลานหินยังพบเป็นรอยพระบาท ขนาด 1.20 x 0.80 เมตร และมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีน้ำตลอดทั้งปี และนำน้ำมาประกอบพิธีสำคัญของประเทศในโอกาสสำคัญ ๆ ด้วย และยังเป็นที่ตั้งของวัดศิลาอาสน์ ซึ่งมีพระสงฆ์จำพรรษา 1 รูป          ทุก ๆ ปี พุทธศาสนิกชนจากทั่วประเทศและมีความเชื่อศักดิ์สิทธิ์จะเดินทางมานมัสการพระเจ้าองค์ตื้อที่ภูพระ และประกอบพิธีรำผีฟ้า เพื่อบวงสรวง เชื่อว่ารักษาผู้ป่วยหาย หรือบนบานขอพรได้สำเร็จ ซึ่งประกอบพิธีในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 และวันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี นับเป็นสถานที่สร้างสุข สงบ เงียบ และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิและประเทศไทย


8 อุทยานแห่งชาติภูแลนคา



อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีพื้นที่ 148 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอเมือง บ้านเขว้า หนองบัวแดง และเกษตรสมบูรณ์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน สภาพป่ามีทั้งป่าทึบและป่าโปร่ง เป็นต้นน้ำลำธารของลำห้วยที่ไหลลงสู่แม่น้ำชี มีจุดเด่นทางธรรมชาติหลากหลายทั้งหน้าผาสันเขา ลานหินและก้อนหินรูปร่างแปลก ๆ รวมทั้งพืชพรรณที่น่าสนใจ เหมาะมาเที่ยวชมในระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ทางอุทยานฯได้จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของอุทยานฯ ได้แก่ ป่าหินงามจันทร์แดง, ภูคี, ภูเกษตร, ภูอ้ม ภูคล้อ ภูกลาง, ทุ่งดอกกระเจียว, จุดชมวิวลานหินร่องกล้า, จุดชมวิวป่าหินปราสาท, ผาแเพ, ประตูโขลง, ผากล้วยไม้, ถ้ำพระและถ้ำเกลือ, น้ำตกตาดโตนน้อย, เขาขาดและแม่น้ำชี  นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ซึ่งมีก้อนหินแปลก ๆ อีกหลายแห่ง ได้แก่ ป่าหินงามปราสาท ป่าหินงามหงส์ฟ้า และแนวหน้าผาซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยงาม ค่าเข้าชม คนไทยผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาทฮ อัตราค่าบริการ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยลด 50 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์-วันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2558 ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท อุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ ราคา 2,000 บาท อุทยานฯ มีบ้านพักรับรองและสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์พักแรม สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา ตำบลห้วยต้อน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4481 0902-3  หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร.  0 2562 0760 หรือ www.dnp.go.th



ฝากกดติดตามด้วยจ้า




จุดไฟตูมกาออกพรรษายโสธร 2561

 จุดไฟตูมกาออกพรรษายโสธร 2561



งานประเพณีจุดไฟตูมกา (มีคลิป)จัดขึ้นในวันออกพรรษา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนชาวบ้านทุ่งแต้ ตำบลทุ่งแต้ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยนำผลตูมกาผลไม้ป่าที่มีรูปร่างทรงกลมคล้ายผลส้ม มีก้านยาว มีลักษณะพิเศษคือ เปลือกบางโปร่งแสง นำมาขูดเอาผิวสีเขียวออกและคว้านเอาเนื้อและเมล็ดข้างในออกให้หมด จากนั้นใช้มีดแกะเป็นลายต่างๆ ตามความต้องการ หลังจากนั้นจุดเทียนสอดเข้าไปในรูที่เจาะไว้ตรงส่วนล่างของผลตูมกา แสงสว่างจากเปลวเทียนก็จะลอดออกมา เป็นลวดลายต่างๆ ตามรูที่เจาะไว้และคืนวันออกพรรษาชาวบ้านจะจุดเทียนในผลตูมกาจากที่บ้านแล้วนิยมหิ้วก้านของตูมกาไปที่วัดระหว่างทางแม้จะมีลมพัดเทียนในตูมกาก็จะไม่ดับ เมื่อไปถึงวัดจะแขวนไว้ตามสถานที่ที่วัดจัดให้ หลังจากนั้นชาวบ้านจะร่วมกันกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย และสวดมนต์ไหว้พระบนศาลาพร้อมกัน ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ทางพุทธศาสนาของจังหวัดยโสธร ในวันออกพรรษาที่ไม่เหมือนจังหวัดใดในประเทศไทย ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ชมขบวนรถที่ถูกตกแต่งด้วยไฟตูมกาที่สวยงาม บรรยากาศการประดับไฟตูมกาในบริเวณสถานที่จัดงาน การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การประกวดร้องเพลงพร้อมรีวิวเพลงไฟตูมกา การประกวดจัดต้นไฟตูมกาของหน่วยงานและชุมชน  การสาธิตการทำไฟตูมกา พร้อมทั้งการจำหน่ายสินค้าโอทอปของจังหวัดยโสธร




วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พาเที่ยว 10 ที่ @สมุทรสงคราม

พาเที่ยว 10 ที่ @สมุทรสงคราม   




1 ปลูกป่าชายเลน สมุทรสงคราม


กิจกรรมปลูกป่าชายเลน      กิจกรรมการปลูกป่าชายเลน ตำบลคลองโคน อำเภอเมือง กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจฟื้นฟูป่าชายเลน ผู้สนใจสามารถนั่งเรือหางยาวชมพื้นที่ป่าชายเลน โดย อบต.คลองโคนจะจัดเตรียมเรือหางยาว กระดานเลน กล้าไม้และอุปกรณ์การปลูกไว้ให้บริการ ปัจจุบันมีการช่วยเพิ่มเติมพื้นที่ป่าชายเลนไ้ด้มากกว่า 2,000 ไร่ และยังสามารถนั่งเรือชมพื้นที่ป่าชายเลน ชมนกนานาชนิด รวมทั้งลิงแสม และสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงอย่างใกล้ชิด สอบถามข้อมูลเพิมเติมได้ทีิ่ อบต. ่คลองโคน โทร.0 3473 1329 หร็ือวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์คลองโคน โทร. 08 6177 7942 ซึ่งเป็นชุมชนที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ปี พ.ศ.2550 ประเภทชุมชนท่องเที่ยวดีเด่น   การเดินทาง ไปตามถนนพระราม 2 สู่ทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี-ปากท่อ ประมาณกิโลเมตรที่ 72 จะเห็นสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายตามป้ายบอกทางเข้า พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเขายี่สารเข้าไป 500 เมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปอีก 4 กิโลเมตร



2 ดอนหอยหลอด


พบกับความมหัศจรรย์ของสันดอนปากแม่น้ำแม่กลองที่มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของหอย มากมาย โดยเฉพาะ “หอยหลอด” นั้นถือว่ามีปริมาณมากที่สุด จึงเป็นที่มาของชื่อ “ดอนหอยหลอด” นั่นเอง ดอนหอยหลอดนั้นเกิดจากการทับถมกันของตะกอนดินปนทรายที่ชาวบ้านเรียกกันว่าทรายขี้เป็ด เมื่อเป็นระยะเวลานานเข้า บริเวณนี้ได้ก่อเกิดเป็นสันดอนที่มีอาณาบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร และยื่นออกไปในทะเลยาว 8 กิโลเมตร ครอบคลุมอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงครามในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ บางจะเกร็ง แหลมใหญ่ และบางแก้ว ในช่วงเวลาน้ำลงที่สันดอนโผล่ขึ้นมาชัดเจน ชาวบ้านแถบนั้นนิยมมาจับหอยหลอดกันที่นี่ โดยใช้ไม้ไผ่เล็กๆ ขนาดก้านธูป จุ่มปูนขาวแล้วเทลงไปในรู เมื่อหอยหลอดเมาปูนจะโผล่ขึ้นมา และนี่เองจึงเป็นที่มาของกิจกรรมความสนุกสนานของนักท่องเที่ยวที่ได้หยอดปูนจับหอยหลอดด้วยตัวเอง   รู้ก่อนเที่ยว - สามารถเช่าเรือบริเวณศาลาอาภากรใกล้กับศาลกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อชมดอนหอยหลอด หรือสัมผัสวิธีการจับหอยหลอด ราคาเช่าลำละ 60 บาท นั่งได้ไม่เกิน 6 คน หรือราคาต่อคนๆ ละ 10 บาท - บริเวณดอนหอยหลอดมีร้านอาหารและร้านจำหน่ายของฝากพวกอาหารแห้งตั้งอยู่ตามริมทาง - ช่วงเวลาที่เหมาะกับการจับหอยหลอดมากที่สุดคือระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม - การจับหอยหลอดควรใช้วิธีหยอดปูนขาวลงไปในรู ไม่ควรสาดปูนขาวลงบนสันดอนเพราะจะทำให้หอยหลอด บริเวณนั้นตายหมด ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.+66 3472 3749, +66 3472 3736 



3 พิพิธภัณฑ์ขนมไทย 


ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ขนมไทยที่มีชีวิตแห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยความร่วมมือของเทศบาลตำบลอัมพวา บริษัทอุตสาหกรรมขนมไทย จำกัด และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยภายในเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นมากมาย จากขนมไทยต่างๆ ที่จำลองขึ้นมาให้เหมือนกับของจริง ซึ่งขนมที่จัดแสดงนั้นมีตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ไล่เรียงมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น ขนมต้มแดงต้มขาว ขนมมงคล 9 อย่าง ขนมหวานในหม้อดิน ขนมในโหลแก้ว ฯลฯ ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับการทำขนม และผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นที่ใช้กับขนมไทย รวมถึงพาหนะขายขนมสมัยโบราณที่น่าสนใจ อาทิเช่น จักรยานสามล้อพ่วงหาบเร่ เรือพายขายขนมที่คุณสามารถเข้าไปนั่งในเรือเสมือนเป็นแม่ค้าในสมัยนั้น   เปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น.   สอบถามรายละเอียดที่โทร. +66 3475 0350-1, +668 8865 8661 



4 ตลาดน้ำอัมพวา  


วันเปิดทำการ : วันศุกร์ - วันอาทิตย์ เวลาเปิดทำการ : 14.00 - 20.00   รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าพูดถึงตลาดน้ำ (Thailand Floating Market) ที่เก่าแก่และโด่งดังมาอย่างยาวนานของเมืองไทย คงต้องนึกถึงตลาดน้ำอัมพวา (Amphawa Floating Market) เป็นอันดับต้นๆ  ตลาดริมคลองแห่งนี้จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดสมุทรสงคราม และเป็นตลาดน้ำ (floating market near Bangkok) ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ที่นี่จึงคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเดินเล่นรับลมเย็นริมน้ำ บ้างก็เลือกซื้อหาของกินอร่อยๆ จากร้านต่างๆ ที่เปิดขายเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งคลอง อาหารหรือขนมบางอย่างเป็นสูตรโบราณที่ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว บางร้านก็มีอาหารหรือขนมแบบใหม่ๆ แปลกๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลองชิมหรือซื้อไปฝากญาติฝากเพื่อน บ้างก็สนุกกับการจับจ่ายสินค้าที่ระลึกในรูปแบบย้อนยุค นอกจากนี้ยังมีบริการล่องเรือชมวิว ชมชีวิตริมคลองอัมพวา และสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งการเฝ้าดูหิ่งห้อยส่องแสงรายรอบต้นลำพูที่เติมความสวยงามให้กับยามราตรีได้เกินคำบรรยาย   สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง อุทยานฯ ร.2 ชมบรรยากาศจำลองของชีวิตผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชมเรือนไทย และสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ มากมาย   วัดบางกุ้ง เป็นที่ตั้งของโบสถ์ปรกโพธิ์ หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีรากของต้นไม้ตระกูลต้นโพต้นไทรปกคลุมโบสถ์ทั้งหลัง   อาสนวิหารแม่พระบังเกิด โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้มีอายุเก่าแก่และมีความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรมในสไตล์โกธิคมาก เป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย   ตลาดน้ำท่าคา ตลาดน้ำที่มีความเก่าแก่เกิน 100 ปีอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม พ่อค้าแม่ค้าพายเรือมาขายของอย่างคับคั่ง ตลาดเปิดช่วงเช้า   ตลาดน้ำบางน้อย เป็นตลาดน้ำโบราณที่อยู่ริมคลอง อาจจะไม่ใหญ่เท่าตลาดน้ำอัมพวา แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ มีความสงบมากกว่า นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ริมคลองได้อย่างเต็มที่ ตลาดเปิดช่วงเช้า   ข้อมูลการเดินทาง โดยรถยนต์ หากมาโดยรถยนต์  ให้ใช้ถนนพระราม 2 (สายธนบุรี-ปากท่อ) ทางหลวงหมายเลข 35 ถึง กม.ที่ 63 เข้าตัวเมืองสมุทรสงคราม ผ่านตัวเมือง จากนั้นเข้าทางหลวง 325 สมุทรสงคราม-บางแพ กม.ที่ 36-37 มาทางแยกซ้ายเข้าไปทางที่จะไปอุทยานฯ ร.2 ตลาดน้ำจะอยู่ใกล้กับอุทยานฯ ร.2 โดยรถประจำทาง นั่งรถโดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ-ดำเนินสะดวก มาลงที่ตลาดอัมพวาได้เลย   อ่านบทความโปรแกรมท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ได้ที่นี่   



5 วัดอัมพวันเจติยาราม


ไม่เพียงเป็นวัดของตระกูลราชนิกุลบางช้างเท่านั้น หากยังเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากเป็นนิวาสสถานเก่าของหลวงยกกระบัตร (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช) และคุณนาค (สมเด็จพระอัมรินทรามาตย์พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 1) และยังเป็นสถานที่ พระราชสมภพของรัชกาลที่ 2 ด้วยเช่นกัน จากเดิมทีที่ชื่อว่า “วัดอัมพวา” เมื่อได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัย รัชกาลที่ 3 ก็ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอัมพวันเจติยาราม” และจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นโท   โดยสิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯ ให้เขียนขึ้นตามแบบรัตนโกสินทร์อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และบทพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมบริเวณระหว่างช่องประตูด้านล่างเป็นภาพการเสด็จพระราชดำเนิน เลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค รวมทั้งกุฏิใหญ่ พระที่นั่งทรงธรรม พระตำหนัก พระวิหาร พระบรมรูปรัชกาลที่ 2 ซึ่งล้วนสะท้อนศิลปะและสถาปัตยกรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแทบทั้งสิ้น   สามารถเข้ารับชมได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.00 น.



6 วัดอินทาราม 


วัดสำคัญอีกวัดหนึ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดนี้ให้เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ และประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว   ความน่าสนใจของวัดนี้ไม่เพียงอยู่ที่หลวงพ่อโต พระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 300 ปีที่ประดิษฐานคู่วัดนี้มายาวนานเท่านั้น ทุกคนต้องหาโอกาสได้เยี่ยมชมพระอุโบสถหลังใหม่ที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง หลังคาเป็นเครื่องไม้มุงด้วยกระเบื้องดินเผาลดชั้น ไม่มีช่อฟ้าใบระกา ปั้นลมมีเครื่องถ้วยจีนติดประดับเป็นแถว ด้านนอกมีกำแพงแก้วเตี้ย ๆ ล้อมรอบ ปัจจุบันเหลือเฉพาะด้านหน้ามีซุ้มประตูกำแพงแก้วทรงโค้งยอดแหลมอยู่ 1 ซุ้ม   นอกจากนี้ตลอดทั้งปีทางวัดยังมีการจัดงานต่าง ๆ ให้ประชาชนได้เข้าร่วม อาทิเช่น พิธีลอดใต้โบสถ์สะเดาะเคราะห์ การทำบุญวันเกิด การเสี่ยงเซียมซี และที่บริเวณท่าน้ำของวัดยังมีการจัดตลาดน้ำเล็ก ๆ รวมทั้งอุทยานปลาตะเพียนให้นักท่องเที่ยวได้สนุกกับกิจกรรม ให้อาหารปลาในวันพักผ่อน   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ +66 3476 0888, +66 3473 5505     




7 โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์


ที่นี่เหมือนเป็นดั่งห้องรับแขกของชุมชนอัมพวาที่บอกเล่าวิถีแห่งอัมพวาเมื่อสมัยก่อนได้อย่างละเมียดละไม โดยภายในโครงการนั้นแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนต่างๆ ได้แก่ การเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง สวนสาธิตการเกษตรเพื่อการเรียนรู้ เช่น สวนมะพร้าวและพืชต่างๆ มุมสาธิตการเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าว ลาน “นาคะวะรังค์” ลานวัฒนธรรมที่ตั้งชื่อตามผู้บริจาคที่ดินซึ่งใช้เป็นที่สำหรับจัดกิจกรรมและจำหน่ายสินค้าที่ระลึกจากอัมพวา ส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณที่ค้นพบในอำเภออัมพวา นอกจากนี้ยังมีร้านค้าชุมชน ร้านชานชาลาที่จำหน่าย เครื่องดื่มและของว่าง ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นที่ล้อไปกับวิถีริมคลองของอำเภออัมพวาได้อย่างน่าประทับใจ   สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักประชาสัมพันธ์มูลนิธิชัยพัฒนา โทร. +66 2282 4425 ต่อ 006, 007, +66 2252 9880   เว็บไซต์ www.chaipat.or.th 



8 บ้านครูเอื้อ

วันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักวงดนตรีชื่อดังในอดีตนาม “สุนทราภรณ์” และไม่มีใครไม่รู้จักครูเพลงท่านนี้ “เอื้อ สุนทรสนาน” ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังบทเพลงดังๆ มากมายของวงสุนทราภรณ์ในอดีตรวมทั้งเพลงลูกกรุงที่เคยดังทั่วเมืองไทย ยิ่งกว่านั้นท่านยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย ดังนั้นเพื่อรำลึกถึงอัครศิลปิน เพลงผู้ยิ่งใหญ่ จึงได้มีการจัดตั้ง “บ้านครูเอื้อ” ขึ้นมาภายใต้ความดูแลของมูลนิธิสุนทราภรณ์ บ้านหลังนี้เกิดจากการนำ บ้านไม้โบราณริมคลองอัมพวามาปรับปรุงเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการประวัติและผลงานของครูเอื้อ สุนทรสนาน เรื่องราวของเพลงสุนทราภรณ์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของท่าน เครื่องดนตรี เสื้อผ้าที่เคย ใช้แสดง โต๊ะทำงาน และภาพเก่าที่หาชมได้ยาก เพื่อให้บุคคลทั่วไปที่สนใจได้ศึกษาค้นคว้า นอกจากนี้ภายในบ้านยัง มีมุมนั่งฟังเพลงย้อนยุค มุมจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และที่นี่ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชาวอัมพวา” ของมูลนิธิชัยพัฒนาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ เพื่ออนุรักษ์เพลงเก่าใน ตำนานที่กลมกลืนไปกับฉากบ้านเก่าอันคลาสสิกของอัมพวาได้อย่างลงตัว   เปิดให้เข้าชมในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เวลา 08.00-20.00 น.   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักประชาสัมพันธ์ มูลนิธิชัยพัฒนา โทร.+66 2282 4425 ต่อ 006-7, +66 2252 9880 และมูลนิธิสุนทราภรณ์ โทร.+66 2240 0974 โทรสาร +66 2240 3535, www.websuntaraporn.com, E-mail: soontaraporn@gmail.com



9 อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (อุทยาน ร.2)


ความงดงามของอุทยานฯ หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีว่า “อุทยาน ร.” แห่งนี้ซึ่งปรากฏผ่านเรือนหมู่ทรงไทยงามสง่า คือเสน่ห์แรกที่เชิญชวนทุกคนให้เข้าไปสัมผัส ภายในนั้นเต็มไปด้วยพื้นที่อันร่มรื่น และมีการจัดภูมิทัศน์ที่สวยงาม โดยมีไฮไลต์ที่น่าชมอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่เป็นอาคารทรงไทย 4 หลัง แบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ เช่น หอกลาง ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 2 และจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น เครื่องถ้วยเบญจรงค์ หัวโขน ถัดจากนั้นคือห้องชาย ที่จัดแสดงความเป็นอยู่ของชายไทย รวมทั้งแท่นพระบรรทมที่เชื่อกันว่าเป็นของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาคือห้องหญิงที่จัดแสดงความเป็นอยู่ของหญิงไทยโบราณ และสุดท้ายคือห้องครัวและห้องน้ำที่จัดแสดงลักษณะครัวไทยซึ่งสะท้อนวิถีความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางได้เป็นอย่างดี   นอกจากนี้ภายนอกยังมีโรงละครกลางแจ้งและสวนพฤกษชาติ อันเป็นสวนพันธุ์ไม้ในวรรณคดีนานาชนิด อนึ่ง อุทยาน ร.2 นั้นเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อสนองตอบต่อพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไว้เป็นมรดกแก่ชาติ จนได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจากองค์การยูเนสโก นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวไทยที่ไม่มีวันลืมเลือน     เปิดให้เข้าชมทุกวัน โดยในวันจันทร์-ศุกร์ เปิดเวลา 08.30-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เปิดเวลา 08.30-19.30 น.   ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.+66 3475 0666, +66 3475 0376 โทรสาร +66 3475 0376      อ่านบทความโปรแกรมท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ได้ที่   



10 วัดภุมรินทร์กุฎีทอง 


เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ราว ๆ ปี พ.ศ.2431 โดยมีสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดมากมาย ได้แก่ - กุฎีทอง สร้างด้วยไม้สักซึ่งจากประวัติวัดระบุว่า กุฎีทองหลังนี้ บิดาของคุณนาค (สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 1) เป็นผู้สร้างถวาย - พิพิธภัณฑ์วัดภุมรินทร์และอุทยานการศึกษา สถานที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณล้ำค่าต่าง ๆ อาทิเช่น โถลายคราม หนังสือไทย เครื่องทองเหลือง รวมทั้งพระพุทธรูปเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัยนามว่า “พระพุทธรัตนมงคลหรือหลวงพ่อโต”  - ตลาดนัดวัดภุมรินทร์ จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เสน่ห์ของตลาดนัดแห่งนี้คือเป็นตลาดสินค้าเกษตร ที่ชาวสวนจะนำผลไม้จากสวนมาจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคาย่อมเยา   รู้ก่อนเที่ยว - วัดแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับเทศบาลตำบลอัมพวา สามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดภายในบริเวณวัด แล้วนั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาได้ - สามารถใช้บริการล่องเรือจากศูนย์ท่องเที่ยวทางน้ำที่มีโปรแกรมล่องเรือหลายเส้นทางให้เลือก เช่น ล่องเรือตามรอยเสด็จประพาสต้นรัชกาลที่ 5 ล่องเรือเที่ยวตลาดน้ำ ฯลฯ     





ขอบคุณ ที่มา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

พาเที่ยว 11 ชายหาด @เสม็ด ระยอง

11 ชายหาดสวยๆ@เสม็ด ระยอง






1 หาดทรายแก้ว 



อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะห่างจากหมู่บ้านเกาะเสม็ดประมาณ 800 เมตร เป็นหาดทรายที่สวย ที่สุดของเกาะ เป็นหาดทรายละเอียดขาว สะอาด ยาวประมาณ 780 เมตร หาดทรายแก้ว หาดทรายขาวละเอียดเดินนุ่มเท้า และยังเป็นหาดที่คึกคักมากที่สุดอีกด้วย เพราะมีทั้งรีสอร์ท ร้านอาหาร กิจกรรมกีฬาทางน้ำ ผับ บาร์ให้บริการอยู่มากมาย เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบเฮฮาปาร์ตี้ ไม่เหมาะกับคนที่รักความสงบนะ

แผนที่คลิกที่นี่


2 อ่าววงเดือน 



อยู่ทางด้านตะวันออกทางตอนกลางของเกาะ เป็นอ่าวโค้งคล้ายพระจันทร์ครึ่งดวง หาดทรายขาวสะอาดยาวประมาณ 500 ที่สวยงามพร้อมแสงแดดยามเช้า หาดเป็นหาดทรายสวย และค่อนข้างกว้างมีบางส่วนแคบ ทะเลสวยน้ำใส สะอาด มีปู มีหอยนางรมแถวๆโขดหินด้วย หาดทรายละเอียดสวย นุ่ม รู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งเวลาที่เดินไปบนหาดทราย อากาศสดชื่น เหมาะสำหรับพักผ่อนจริงๆ

แผนที่คลิกที่นี่


3 อ่าวพร้าว 



เป็นหาดทรายเพียงหาดเดียวที่อยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมีความยาวประมาณ 200 เมตร ทรายขาว ท้องฟ้าทะเลสีคราม อ่าวส่วนตัวที่มีรีสอร์ทที่สวยงาม และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุด สำหรับที่พักหาดนี้ค่อนข้างสวยงามจนถึงหรู บรรยากาศเงียบสงบไม่พลุกพล่าน มีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย

แผนที่คลิกที่นี่


4 อ่าวไผ่  



อ่าวไผ่เป็นอ่าวขนาดเล็กมีหาดทรายหยาบเล็กน้อย มีเศษหอยปนอยู่บ้าง น้ำใสมากๆ น่าลงเล่นน้ำมาก เหมาะแก่การพักผ่อน นอนซึมซับบรรยายกาศ มีบังกะโลราคาไม่แพง

แผนที่คลิกที่นี่


5 อ่าวทับทิม 



อ่าวทับทิม หรือ อ่าวพุทรา จริงก็คืออ่าวเดียวกันเป็นอ่าวเล็กๆ ห่างจากอ่าวไผ่ 200 เมตร เป็นหาดเล็กๆที่น่ามาพักผ่อน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติซะมากกว่า

แผนที่คลิกที่นี่


6 อ่าวนวล 



ห่างจากท่าหน้าด่าน ประมาณ 2.5 กิโลเมตร เป็นอ่าวเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากอ่าวทับทิมไปเพียงเล็กน้อย ดูแล้วอาจจะเป็นอ่าวที่เล็กที่สุด หาดทรายค่อนข้างหยาบเต็มไปด้วยซากเปลือกหอยและหิน ไม่ค่อยมีพื้นที่เล่นน้ำ เป็นชายหาดที่มีน้ำทะเลสีฟ้า ใสมาก แต่สามารถเล่นน้ำได้ในบางช่วงของหาดเท่านั้น เนื่องจากมีโขดหินเล็ก ๆ กระจายตัวกันอยู่มากมาย หาดค่อนข้างชัน

แผนที่คลิกที่นี่


7 อ่าวช่อ 



อ่าวช่อเงียบสงบ เพราะมีเพียงไม่กี่รีสอร์ท และร้านอาหาร  มีชายหาดส่วนตัวที่ท่าเรือกลางอ่าว ตัวชายหาดสวยมาก หาดทรายขาว และน้ำใสสร้างความคมชัดดีด้วยพืชพันธุ์เขียวขจีในที่ดีๆ ชายหาดเงียบมากทั้งวัน และเพลิดเพลินกับความเงียบสงบเป็นอย่างมาก สถานที่ที่ดีสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ตรงอ่าวช่อนั้นมีสะพานยื่นออกไปในทะเล ทรายขาวละเอียดเหมาะแก่การเล่นน้ำ

แผนที่คลิกที่นี่


8 อ่าวเทียน หรือ หาดแสงเทียน   

  

มีรีสอร์ทเพียงไม่กี่รีสอร์ท และเป็นอ่าวที่สวยงามมาก น้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายสีขาวนุ่มเท้า และจุดที่แสงเทียนบีชตั้งอยู่นั้นอยู่ตรงต้นอ่าวแสงเทียน ทำให้มีพื้นที่ความเป็นส่วนตัว  บรรยากาศ โล่งโปร่ง ไม่มีร่มชายหาดมากวนสายตา ทะเลตรงนี้คนน้อยและเป็นส่วนตัว

แผนที่คลิกที่นี่


9 อ่าวหวาย  



อ่าวหวาย เป็นอ่าวเล็กๆมีหาดทรายขาวสะอาดมาก สามารถเดินไปเพลินๆ ชมหัวหาด และเดินกลับมา ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที มีโรงแรมน่าพักที่นี้หลายแห่ง แต่ค่อนข้างไกลจากชุมชน เหมาะมากในการพักผ่อนเงียบๆ อ่านหนังสือเล่มโปรด ชมทะเล และเล่นทรายของเด็กๆ น้ำใส หาดทรายสวย น้ำใส ทรายละเอียด มีค้นไม้เล็กๆ ริมหาดเป็นที่หลบแดดได้ดีและมีวิวสวย

แผนที่คลิกที่นี่


10 อ่าวกิ่วนอก  



มาสู่ หาดเล็ก ๆ แต่มีความสงบเงียบ เป็นธรรมชาติมากกว่า ผู้คนอัธยาศัย ดี พักผ่อนทั้งกายและใจ ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับชายหาดที่สงบเงียบ เล่นน้ำด้วยความเพลิดเพลินใจ ทรายละเอียด เม็ดขาว หาดสวย น้ำใส ไม่ค่อยมี คนเยอะ เหมื่อน หาดอื่นๆ เงียบสงบ เหมาะกับ คู่รัก เป็นส่วนตัวดี เเต่หาของกินยาก เหมาะแก่การพักผ่อน บรรยากาศดี แต่อาจจะมีโรงแรมและร้านอาหารให้บริการน้อยกว่าจุดอื่นๆ แต่สามารถใช้บริการสองแถวรถกระบะสำหรับเดินทางไปยังที่ต่างๆในเกาะเสม็ดได้

แผนที่คลิกที่นี่


11 อ่าวกะรัง (อ่าวปะการัง)



เป็นแนวปะการังน้ำตื้นห่างจากอ่าวกิ่วประมาณ 500 เมตร เป็นอ่าวสุดท้ายของเกาะเสม็ดด้านทิศใต้ของเกาะ ทะเลสวยมาก น้ำสะอาด มีหินขนาดใหญ่ยืนออกไปในทะเล เหมาะต่อการตกปลามาก ไปนั่งชมวิว ได้กลิ่นอายของทะเล ลมเย็นสบาย มองทะเล และคนไม่เยอะ เหมาะกับการถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศดีๆ มีโขดหิน นั่งชมวิวชิลๆ ที่นี่ ดูบรรยากาศริมทะเลสวยงาม เป็นที่ที่เหมาะทั้งดำน้ำ ตกปลา ตกหมึก ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนจุดชมวิวแหลมกุดช่วง

แผนที่คลิกที่นี่


วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พาเที่ยว 5 ที่ @เมืองช้าง สุรินทร์

สุรินทร์


หมู่บ้านช้างจังหวัดสุรินทร์


ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง (Surin Elephant Village) บ้านตากลาง เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีความเป็นอยู่ ความผูกพันระหว่างคนในชุมชนกับช้าง รวมทั้งประเพณี และวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างใกล้ชิด ชาวบ้านตากลางแต่ละครัวเรือนจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่รวมกัน จนช้างที่พวกตนเลี้ยงไว้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตน ก่อให้เกิดสายใยความผูกพันที่แน่นเฟ้นขึ้น ระหว่างคนกับช้าง ณ บ้านตากลาง จ. สุรินทร์ ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก   ชาวบ้านตากลาง ดั้งเดิมเป็น ชาวส่วย (กูย) หรือ กวย ที่มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้าง และเลี้ยงช้าง ส่วนมากต้องเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนต่อเขตประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ปัจจุบันสภาวะการเมืองระหว่างประเทศทำให้ชาวบ้านตากลาง ไม่สามารถไปคล้องช้างเช่นแต่ก่อนได้ แต่ชาวบ้านตากลางยังคงเลี้ยงช้าง และฝึกช้างเพื่อไปร่วมแสดงในงานช้าง (Thailand Elephant show) ของจังหวัดทุกปี   ลักษณะการเลี้ยงช้างของชาวบ้านตากลาง เหมือนการเลี้ยงช้างไว้เป็นเพื่อน นอนร่วมชายคาเดียวกับตน ดังนั้นถ้านักท่องเที่ยวได้ไปที่บ้านตากลาง นอกจากจะได้เห็นสภาพโรงช้างดังกล่าวแล้ว ยังจะได้สัมผัสการดำรงชีวิตของ ชาวส่วย พร้อมทั้งจะได้พบปะพูดคุยกับหมอช้าง ที่มีประสบการณ์ในการคล้องช้างมาแล้วหลายครั้งได้ตลอดเวลา รวมทั้งยังสามารถเดินทางชมจุดบริเวณที่แม่น้ำชีและแม่น้ำมูลไหลมารวมกัน ซึ่งห่างออกไปเพียง 3 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่งดงามน่าพักผ่อนหย่อนใจ และชวนให้ศึกษาในเชิงของธรรมชาติด้วย   ศูนย์คชศึกษา (Thailand Elephant Trip) หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง จ.สุรินทร์ เป็นศูนย์รวมของสมาชิกช้างทั้งในบ้านกะโพ ตากลาง และจากหมูบ้านอื่น ๆ ในจังหวัดสุรินทร์มากกว่า 200 ตัว ซึ่งจัดให้เป็นวิถีชีวิตที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันของคนกับช้าง โดยมีทั้งบ้านเรือนของชาวบ้านหรือที่เรียกว่าควาญช้าง และมีที่อยู่ของช้างอยู่ทั่วบริเวณ เป็นวิถีชีวิตที่น่าทึ่งมาก ๆ ไม่ว่าเราจะเดินไปบริเวณไหนเราก็จะพบเห็นช้างอยู่แทบทุกที่ ซึ่งช้างแต่ละตัวก็เป็นช้างแสนรู้น่ารัก ไม่ดุร้าย  และสามารถเข้ากับคนได้ง่าย ช้างบ้านตากลางเป็นช้างบ้านที่เชื่อง นอนร่วมชายคาเรือนเดียวกันกับคน  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ช้างกับคนอยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข   สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง วังทะลุ เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลและแม่น้ำชีไหลมาบรรจบกัน ปราสาทนางบัวตูม   ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วัดปทุมศิลาวารีปราสาท อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เป็นปราสาทก่อด้วยศิลาแลง 3 หลัง  และตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเดียวกัน  วัดพระพุทธบาทพนมดิน เป็นที่ประดิษฐานพระมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประเพณีการแข่งเรือยาวประจำปี ระหว่างเดือนตุลาคมของทุกปี ณ  ลำน้ำมูล ฝายน้ำล้นบ้านกุดมะโน เป็นแหล่งน้ำที่มีทิวทัศน์สวยงามในฤดูฝน เมื่อน้ำลดจะเห็นหาดทรายที่สวยงาม

แผนที่คลิกที่นี่



โบราณสถานกลุ่มปราสาทตาเมือน


ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลังเรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม (ธม เป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่) ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม ตัวปราสาทตาเมือนธม หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธมประกอบด้วยปราสาทประธาน มีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน มีบรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือ มีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ ปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดนเขมรมากที่สุด การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค

แผนที่คลิกที่นี่



ปราสาทศีขรภูมิ


ปราสาทศีขรภูมิ หรือ ปราสาทระแงง ตั้งอยู่ข้างวัดบ้านปราสาท บ้านปราสาท ตำบลระแงง อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ปราสาทหลังนี้เป็นปราสาทที่งดงามที่สุดในจังหวัดสุรินทร์ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระธิดาทั้ง 3 (มี หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล เป็นต้น) ได้เดินทางมาเยือนเมื่อ มกราคม - กุมภาพันธ์ 2472 (นับอย่างใหม่ต้องปี พ.ศ. 2473) และได้ถูกรวมเข้ากันกับอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือนและปราสาทศีขรภูมิ จากลักษณะทางศิลปกรรม สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นศาสนสถานในลัทธิไศวนิกาย และในพุทธศตวรรษที่ 22 มีการบูรณะเพิ่มเติมที่องค์ปราสาทแถวหลังฝั่งทิศใต้ เป็นแบบศิลปะล้านช้าง และยังมีจารึกอักษรธรรมปรากฏอยู่ ณ ปราสาทหลังนี้ ปี พ.ศ. 2531 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงนำนักเรียนนายร้อย จปร. มาศึกษาที่โบราณสถานแห่งนี้ และก็ได้มีการบูรณะปราสาทศีขรภูมิ ให้ดูงามเด่นเป็นสง่าน่าภาคภูมิใจแก่แขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือนเมืองปราสาทหินโบราณแห่งนี้ ปราสาทศีขรภูมิ มีลักษณะเป็นปรางค์หมู่ 5 องค์ เป็นปราสาทก่ออิฐไม่สอปูน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน โดยตัวฐานก่อด้วยศอลาแลงกว้าง 25 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 1.5 เมตร โดยมีคูน้ำกว้าง 125 เมตร ล้อมรอบสามด้าน โดยเว้นด้านตะวันออกอันเป็นทางเข้าไว้ ปรางค์ประธานสูงประมาณ 32 เมตร ทับหลังเป็นภาพพระศิวนาฏราชสิบกร ทรงฟ้อนรำอยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย ซึ่งสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมาโดยทับหลังชิ้นนับเป็นทับหลังที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งของเมืองไทย บริเวณเสากรอบประตูสลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ซึ่งนางอัปสราที่ปราสาทศีขรภูมินี้มีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่พบที่ปราสาทศิลปะเขมรโบราณแห่งใดอีกเลยในประเทศไทย พบที่ปราสาทศีขรภูมิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

แผนที่คลิกที่นี่



หมู่บ้านทอผ้าไหมบ้านจันรม


หมู่บ้านทอผ้าไหม บ้านจันรม ตั้งอยู่ที่ตำบลตาอ็อง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของอำเภอเมือง ตามถนนสายสุรินทร์-สังขะ ทางหลวงหมายเลข 2077 ประมาณกม.ที่ 9 เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในด้านแหล่งทอผ้าไหมพื้นเมือง และแหล่งผลิต เครื่องประดับเงิน ปัจจุบันเป็นแหล่งจำหน่ายหัตถกรรมทั้ง 2 ประเภท นี้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัด  ที่หมู่บ้านนี้มีการปลูกหม่อน และเลี้ยงไหมกันเองแล้วนำมาทอเป็นผ้าไหมที่มีลวดลายและสีแบบ โบราณ และยังเป็นหมู่บ้านที่ทำหัตถกรรมเครื่องจักสานอีกด้วย จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าไหมมานานและได้สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมานานจนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่น่าสนใจยิ่ง กรรมวิธีการทอจังหวัดสุรินทร์นิยมนำเส้นไหมขั้นหนึ่งหรือไหมน้อย (ภาษาเขมร เรียก “โซกซัก”) มาใช้ในการทอผ้า  ในจังหวัดสุรินทร์มีการทอผ้ามากมายหลาย ผ้านุ่งหญิง และผ้านุ่งชาย มีหลายลวดลายแบ่งออกเป็นหลากหลายลายเช่นมัดหมี่โฮล หรือ จองโฮล (จองเป็นภาษาเขมร หมายถึง ผูกหรือมัด) หรือ ซัมป็วตโฮล   ผ้าโฮลเป็นผ้าไหมมัดหมี่ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายเขมรในจังหวัดสุรินทร์  ผ้ามัดหมี่โฮลถือเป็นลายเอกลักษณ์ของลายผ้าไหมมัดหมี่ จังหวัดสุรินทร์  “โฮล” เป็นคำในภาษา เขมร     เป็นชื่อเรียก กรรมวิธีการผลิตผ้าไหมประเภทหนึ่งที่สร้างลวดลายขึ้นมาจากกระบวนการมัดย้อมเส้นไหมให้เกิดสีสันและลวดลายต่างๆก่อน แล้วนำมาทอเป็นผืนผ้า ซึ่งตรงกับคำว่า   “ผ้าปูม” ในภาษาไทย “มัดหมี่”ในภาษาลาว และคำว่า IKAT (อิ-กัด) ซึ่งเป็นลำดับที่ภาษาอินโดนีเซีย-มาลายู แต่ชาวตะวันตกมักรู้จักผ้ามัดหมี่ของมาเลย์-อินโดนีเซีย   และเรียก IKAT ตามไปด้วย ผ้าโฮลมี 5 สี ได้แก่ สีดำ, แดง,เหลือง,น้ำเงิน และเขียว  สีเหล่านี้ได้จากการย้อมด้วยสีธรรมชาติ เนื้อผ้ามักมี 2 สี ด้านหน้าเป็นสีอ่อน อีกด้านหนึ่งเป็นสีเข้มกว่า ผ้าโฮลเปราะห์ (ลายโฮลผู้ชาย) เป็นผ้ามัดหมี่ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรบริเวณอีสานใต้ มีลวดลายและสีสันต่าง ๆ กัน ใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบนของผู้ชาย ในสมัยโบราณเรียก     “ผ้าปูมเขมร” ราชสำนักใช้เป็นผ้าพระราชทานให้ข้าราชบริพารตามตำแหน่ง เป็นผ้าขนาดใหญ่ กว้างยาวมาก มักมีเชิง คล้ายผ้าปาโตลาของอินเดีย บางทีเรียก ผ้าสมปัก หรือ ผ้าสอง  ปัก ภาษาเขมรหมายถึงผ้านุ่ง ซึ่งจะพระราชทานให้ตามยศ เช่น สมปักปูม สมปักกรวยเชิง สำหรับข้าราชการชั้นสูง ผ้าสมปักริ้ว ผ้าสมปักลาย สำหรับข้าราชการระดับเจ้ากรมและปลัดกรม ผ้าสมปักล่องจวนที่มีพื้นสีขาวสำหรับพราหมณ์นุ่ง ได้ยกเลิกไปในสมัยราชการที่ 5

แผนที่คลิกที่นี่



ห้วยเสนง



เขื่อนห้วยเสนง เป็นเขื่อนดิน อยู่ในเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ และอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 7 กิโลเมตร เขื่อนห้วยเสนงสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2520 ปิดกั้นห้วยเสนงและลำน้ำอำปึลที่บ้านโคกจ๊ะ-บ้านถนน-บ้านเฉนียง ที่รับน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำอำปึลเป็นอ่างแฝดทางด้านเหนือเขื่อนซึ่งเป็นฝ่ายส่งน้ำและบำรุง รักษาที่ 1 ชลประทานสุรินทร์ จึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ คำว่าห้วยเสนง มาจากคำว่า “แสน็ง” เป็นภาษาพื้นบ้านหรือภาษาเขมรถิ่นบ้านเรา กรมชลประทาน  ได้ดำเนินการสำรวจออกแบบโครงการชลประทานห้วยเสนง เป็นโครงการแรกของจังหวัดสุรินทร์  ในปี พ.ศ. 2481 และเริ่มงานก่อสร้างในปี พ.ศ. 2483 งานชลประทานในจังหวัดสุรินทร์ ส่วนใหญ่เป็นโครงการชลประทานประเภทเก็บกักน้ำด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำและฝาย  ในปี พ.ศ. 2527 กรมชลประทานได้จัดตั้งโครงการชลประทานสุรินทร์  เป็นหน่วยงานในสังกัดของกรมชลประทาน  หัวงานโครงการชลประทานสุรินทร์ตั้งอยู่ที่อ่างเก็บน้ำห้วยเสนง หมู่ที่ 2 บ้านทำเนียบ ตำบลเฉนียง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  เขื่อนห้วยเสนงมีความสูงจากท้องน้ำ 20 เมตร สันเขื่อนยาว 4.4 กิโลเมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบัน เขื่อนห้วยเสนงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ของชาวสุรินทร์มาเป็นเวลานาน ได้ชื่อว่าทะเลสุรินทร์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนชาวสุรินทร์ นอกจากนี้บนสันเขื่อนมีสันที่กว้างออกคล้ายแหลมไปซึ่งเป็นที่ตั้งของพระตำหนักประทับแรมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือ เรือนรับรองที่ประทับ อ่างเก็บน้ำห้วยเสนง เมื่อครั้งเสด็จประพาส ให้นักท่องเที่ยวได้ชม ซึ่งมีเขตพระราชฐานอยู่ด้านใน และมีจุดชมวิวให้ชมอีกด้วย และยังเป็นที่ประทับรับรองพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ครั้นยังทรงพระชนม์) ในยามที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดอีสานใต้ อยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางถนนสายสุรินทร์-ปราสาท (ทางหลวงหมายเลข 214) ประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 5-6 แยกซ้ายมือไปทางถนนริมคลองชลประทาน มีป้ายชื่อว่า โครงการชลประทานสุรินทร์ สำนักชลประทานที่ 8 ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร

แผนที่คลิกที่นี่

ขอบคุณ ที่มา ททท